รายการ ลดหย่อนภาษี ปี66
ลดหย่อนภาษี ปี66

รายการ ลดหย่อนภาษี ปี66 ออกแล้วสำหรับคนไทย คนไทยที่มีเงินเดือนประจำ ตั้งแต่ 120,000/ปี หรือบุคคลที่มีรายได้ประเภทอื่นๆ ตั้งแต่ 60,000/ปี นั้นจะต้องมีหน้าที่ในการยื่นภาษี โดยการยื่นภาษีนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับอายุแต่อย่างใด และส่วนของการยื่นภาษีนั้นจะขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือนของแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งทุกคนนั้นสามารถวางแผนการลดหย่อนได้ตั้งแต่เนิ้นๆ  เพราะถ้าเรานั้นวางแผนไว้ก่อนก็จะสามารถประหยัดไปได้เยอะเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะไม่ได้เสียเลยก็มี

รายการ ลดหย่อนภาษี ปี66 คืออะไร

การ ลดหย่อนภาษี ปี66 หรือที่เรียกว่า “ค่าลดหย่อน” นั้น คือ รายการใช้จ่ายที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีเงินได้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วเพิ่มเติมได้ และวิธีนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นรายการที่กฎหมายอนุญาตให้ทุกคนทำได้

วิธีการคำนวณเงินได้สุทธิ คือ “(รายได้รวมต่อปี - ค่าใช้จ่าย) - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ”


ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัว และครอบครัว

  1. ค่าลดหย่อนส่วนตัว
    หักค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาท เป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ที่มีรายได้ทุกคน ที่สามารถนำมาลดหย่อนได้ทันที
  2. ค่าลดหย่อนคู่สมรส
    หักค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาท ซึ่งคู่สมรสต้องไม่มีรายได้ และจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หากคู่สมรสมีรายได้ต้องพิจารณาว่า ต้องการยื่นรายได้รวมกันหรือแยกกัน
  3. ค่าลดหย่อนบุตร
    1. บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้ ต้องอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุ 21-25 ปีที่กำลังศึกษากำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป
      • บุตรที่เกิดก่อนปี 2561 หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
      • บุตรที่เกิดหลังปี 2561 คนแรกหักค่าลดหย่อนได้ 30,000 บาท คนที่ 2 เป็นต้นไปหักค่าลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท
      • ใช้ลดหย่อนได้ตามจำนวนบุตรจริง
      • บุตรที่นำมาใช้สิทธิจะต้องมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/ปี
    2. บุตรบุญธรรม ต้องจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย
      • หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 3 คน
      • หากมีบุตรชอบด้วยกฎหมายด้วย จะต้องใช้และนับสิทธิก่อน หากใช้ครบแล้ว 3 คน จะไม่สามารถใช้สิทธิบุตรบุญธรรมได้อีก
      • บุตรบุญธรรมที่นำมาใช้สิทธิจะต้องมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/ปี
    3. ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร หักได้ตามจริงที่จ่ายให้สถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท/การตั้งครรภ์ หากเป็นครรภ์ฝาแฝดจะนับเป็น 1 การตั้งครรภ์

ค่าลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา

  • หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
  • สามารถหักลดหย่อนได้ทั้งของตนเองและของคู่สมรส รวมสูงสุด 4 คน
  • บิดา มารดาที่นำมาใช้สิทธิ ต้องมีอายุมากกว่า 60 ปี และต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท
  • ในกรณีครอบครัวนั้นมีบุตรหลายคน พี่น้องจะสามารถนำบิดา มารดา ไปใช้สิทธิหักค่าลดหย่อนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีซ้ำได้
  • บุตรบุญธรรม ไม่สามารถนำบิดา มารดา ที่เป็นผู้รับบุตรบุญธรรมมาลดหย่อนได้

ค่าลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ

  • หักค่าลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
  • ผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการ และต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะของผู้มีรายได้
  • ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพพลภาพเป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้มีเงินได้ จะสามารถใช้สิทธิได้ทั้ง 2 ส่วน และไม่จำกัดจำนวนคน เช่น กรณีอุปการะเลี้ยงดูบิดา หักค่าลดหย่อนได้ 30,000 บาท และบิดาเป็นผู้พิการ ก็จะได้ค่าลดหย่อนเพิ่มอีก 60,000 บาท รวมแล้วสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 90,000 บาท หรือกรณีเป็นคู่สมรสจะหักได้ถึง 120,000 บาท เป็นต้น
  • ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ไม่ได้เป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้มีเงินได้ จะสามารถใช้สิทธิได้เพียง 1 คน

ค่าลดหย่อนภาษี จากการซื้อประกัน การออมเงิน และการลงทุน

1.เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
หักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่บังคับหักเข้ากองทุน 5% ของเงินเดือนทุกเดือน โดยมีขั้นต่ำ 83 บาท/เดือน และสูงสุด 750 บาท/เดือน (จำนวนสูงสุดจะคิดที่ฐานเงินเดือน 15,000 บาท เท่านั้น)

2.เบี้ยประกันชีวิต และเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์

  • ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้เท่ากับเบี้ยที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • กรมธรรม์ที่ทำต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
  • ต้องทำกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น
  • หากคู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถนำเบี้ยประกันของคู่สมรสมาลดหย่อนได้เพิ่มเติม และสูงสูด 10,000 บาท
    ในกรณีที่คุณยังไม่ได้ทำประกันชีวิต และกำลังมองหาแบบประกันชีวิตที่เข้ากับคุณ สามารถเข้าไปดูข้อมูลประกันชีวิตลดหย่อนภาษีผ่านเว็บไซต์ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ทันที

3.ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุเฉพาะความคุ้มครองสุขภาพ
หักค่าลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 25,000 บาท ทั้งนี้เมื่อนำเบี้ยประกันสุขภาพ ประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์มารวมกัน จะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

4.ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ

  • หักค่าลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
  • กรมธรรม์ที่ทำต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
  • ต้องทำกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น อย่างเช่น ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีแบบบำนาญจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา
  • ต้องมีเงื่อนไขการจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ และต้องกำหนดช่วงอายุของการจ่ายเมื่อผู้มีเงินได้อายุตั้งแต่ 55-85 ปีขึ้นไป

6.ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา
สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนภาษีเท่าที่จ่ายจริง และเมื่อรวมทั้งบิดาและมารดาต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยที่บิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ในส่วนนี้จะไม่มีเงื่อนไขอายุของบิดามารดาที่ต้องครบ 60 ปีขึ้นไป

7.เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง และต้องไม่เกิน 500,000 บาท

8.เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
นำมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้หากสนใจที่จะลงทุนใน กอช. จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ

  • ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 15-60 ปี
  • ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนภายใต้ระบบประกันสังคม ยกเว้นผู้ประกันตนมาตรา 40 (1)
  • ไม่ได้เป็นข้าราชการ และสมาชิก กบข., ไม่ได้เป็นสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และไม่ได้เป็นพนักงานประจำ
  • เข้าใจง่าย ๆ ว่า เป็นกองทุนสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งไม่ได้มีนายจ้างนั่นเอง

9.การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
เงินที่ลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง RMF (Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจริง โดยจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

10.การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
เงินที่ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี SSF (Super Saving Funds) สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจริง โดยจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ปัจจุบันจะให้สิทธิลดหย่อนได้ 5 ปี คือ ปี 2563-2567

11.เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
หักค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องลงทุนหรือลงหุ้นในธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมภายในข้อกำหนดของ พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 และหากเป็นการลงทุนในหุ้น มีข้อบังคับให้ต้องถือหุ้นจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น ๆ จะเลิกกิจการ

อย่าลืม!!! : คำนวณอัตราสูงสุดที่ใช้ลดหย่อนได้ เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุนและประหยัดภาษี

  1. ประกันชีวิต + ประกันแบบสะสมทรัพย์ + ประกันสุขภาพ + ประกันอุบัติเหตุเฉพาะความคุ้มครองสุขภาพ = 100,000 บาท
  2. ประกันชีวิตแบบบำนาญ + กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ* = 500,000 บาท

*กองทุนเพื่อการเกษียณอายุในปัจจุบัน คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)


ลดหย่อนภาษีด้วยเงินบริจาค

  1. เงินบริจาคทั่วไป
    เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  2. เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน คือ
    • สถานศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน
    • สถานพยาบาลของรัฐ
    • การบริจาคผ่าน e-Donation ผ่านสภากาชาด, กองทุนยุติธรรม, หน่วยงานด้านกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย, กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กองทุนสนับสนุนการวิจัยตามกฎหมาย, กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา, กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขม, กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้ง, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเด็กเล็ก, การจัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้กับสถานศึกษาของทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษา, โครงการฝึกอบรมอาชีพ สถานพักฟื้น บำบัด และฟื้นฟูเด็ก และเงินบริจาคให้คนพิการเพื่อการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ
  3. เงินบริจาคแก่พรรคการเมือง
    นำมาหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท

ทั้งนี้การลดหย่อนผ่านเงินบริจาค ต้องมีการอัปเดตเงื่อนไขจากภาครัฐอยู่เสมอ เพราะอาจมีทั้งองค์กรที่เพิ่มขึ้น และเงื่อนไขการรับบริจาคที่ปรับปรุงใหม่


ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมผ่านมาตรการรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

  1. ดอกเบี้ยบ้าน
    สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัยมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
  2. ช้อปดีมีคืน สำหรับลดหย่อนภาษี 2566
    • ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 - 15 กุมภาพันธ์ 2566
    • สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 40,000 บาท
    • 30,000 บาทแรก ต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ทั้งแบบกระดาษ และแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร
    • 10,000 บาทที่เหลือ ต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ เฉพาะแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
    • ทั้งนี้ผู้มีเงินได้ต้องเก็บรักษาใบกำกับภาษีไว้เป็นหลักฐาน ทั้งแบบกระดาษและแบบอิเล็กทรอนิกส์ หากเป็นกระดาษที่หมึกจางหายได้ แนะนำให้สแกนไฟล์หรือถ่ายเอกสารประกบไว้อีก 1 ชุด

วิธีตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี 2566 ที่ทำได้ด้วยตัวเอง

  1. เริ่มต้นโดยเข้าไปยังเว็บไซต์กรมสรรพากร
  2. คลิกเลือกเมนู My Tax Account ซึ่งจะเป็นบริการตรวจสอบข้อมูลภาษี รวมถึงค่าลดหย่อนด้วย
  3. ก่อนใช้งานต้องลงทะเบียน หรือล็อกอินด้วยบัญชีเดียวกับระบบ e-Filing
  4. เลือกรายการลดหย่อนเพื่อตรวจสอบ

ข้อแนะนำในการลดหย่อนภาษี 2566

  1. ควรมีการวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในปีภาษีนั้น ๆ ควรใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่าไหร่ เช่น ค่าลดหย่อนภาษีปี 2566 มีอะไรบ้างที่อัปเดตขึ้นมาใหม่ ต้องใช้เงินเพื่อลดหย่อนจำนวนเท่าไหร่ที่จะครอบคลุมเงินได้ในปีภาษี 2566 ทั้งหมด และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลดหย่อนเต็มอัตรา ซึ่งจะทำให้คุณสามารถบริหารเงินสดในแต่ละปีได้ดีขึ้น ไม่ต้องใช้เงินสดจำนวนมากเพื่อลดหย่อนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
  2. ระยะเวลายื่นภาษี ผู้มีรายได้ที่ต้องยื่นภาษี สามารถยื่นภาษีแบบกระดาษได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม ของทุกปี และหากไม่สะดวกไปยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่เอง ก็สามารถยื่นภาษีทางออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 8 เมษายน ซึ่งหากตรงกับวันหยุดจะเลื่อนวันสิ้นสุดออกไป ทั้งนี้ในแต่ละปีภาครัฐอาจจะมีนโยบายขยายระยะเวลาสิ้นสุดมาบังคับใช้เพิ่มเติมด้วย
  3. ระวัง!!! ไม่ยื่นแบบ ยื่นล่าช้า ยื่นผิด มีโทษปรับและจำคุก
    • ไม่ยื่นแบบ ยื่นเกินเวลา มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
    • ยื่นแบบเกินเวลาและมีภาษีต้องชำระ มีค่าปรับเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
    • ยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ไม่จ่ายภาษีภายใน 31 มีนาคม ต้องไปยื่นแบบที่สำนักสรรพากรพื้นที่ และมีค่าปรับร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
    • กรณีกรมสรรพากรตรวจพบว่า คุณไม่ยื่นแบบและออกหมายเรียก หรือยื่นแล้วแต่ชำระภาษีไม่ครบ ต้องชำระเงินเพิ่ม และต้องเสียเบี้ยปรับ 1 หรือ 2 เท่า ของภาษีที่ต้องชำระ
    • จงใจยื่นแบบด้วยข้อมูลเท็จ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และมีโทษปรับ 2,000 - 200,000 บาท
    • ตั้งใจละเลยไม่ยื่นแบบเพื่อเลี่ยงภาษี มีโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
  4. สามารถผ่อนชำระภาษีได้ หากมียอดชำระภาษีตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป สามารถผ่อนชำระได้ 3 เดือน แต่ต้องระวังไม่ให้จ่ายภาษีเกินกำหนด เพราะจะมีโทษปรับร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
  5. ช่องทางติดต่อกรมสรรพากร หากมีข้อสงสัยเกี่ยวการยื่นภาษี สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 ทุกวันทำการ ตั้งแต่เวลา 08.30 น. - 18.00 น.

ขอบคุณข้อมูล www.krungsri.com/th

Jepata.com

JEPATA.COM

ติดต่อโฆษณา

097-126-1282

065-964-0535