อาลัย “หมอกฤตไท” หมอ หนุ่มวัย 29 ปี เจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” เดินทางจากโลกใบนี้ไปสู่โลกใบใหม่แล้ว หลังป่วยมะเร็งปอดระยะ สุดท้าย รักษาตัวมา 1 ปี สุดท้ายพ่ายแพ้ต้านไม่ไหวจากลาครอบครัวและภรรยากับคนที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ พ่อโพสต์เฟซบุ๊กแจ้งข่าวลูกชายหมดลมหายใจสุดท้าย พร้อมอวยพรขอให้เดินทางปลอดภัย ชาว โซเชียลร่วมอาลัยล้นหลาม
หมอกฤตไท พ่ายพิษมะเร็ง ทำเพจดังสู้ดิวะ แฟนๆแห่อาลัย
ในที่สุดวันแห่งการจากลาของหมอไท-นพ.กฤตไท ธนกฤตสมบัติ หมอหนุ่มวัย 29 ปี อาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” ก็มาถึง ภายหลัง นพ.กฤตไทล้มป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 อย่างไม่คาดฝันขณะมีอายุได้ 28 ปี ทั้งที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เป็นการจากลาไปชั่วนิรันดร์ด้วยอาการสงบ การจากลาของ นพ.กฤตไทเป็นที่เปิดเผยโดยนายไทภัทร ธนสมบัติกุล บิดาของ นพ.กฤตไทได้โพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพลูกชายจากหน้าจอโทรศัพท์ ระบุตัวเลข 10:59 น. วันที่ 5 ธ.ค. แจ้งข่าวเศร้าว่า นพ.กฤตไทออกเดินทางจากโลกนี้ไปสู่โลกใบใหม่แล้ว พร้อมระบุข้อความในโพสต์ว่า “เดินทางปลอดภัยครับ ลูกชาย และติดแฮชแท็ก “สู้ดิวะ” มีผู้เข้ามาร่วมอาลัยและแสดงความเสียใจกับครอบครัวของนายไทภัทรกันอย่างล้นหลาม รวมทั้งมีการแชร์โพสต์นี้กว่า 1 แสนครั้ง
เรื่องราวของ นพ.กฤตไทเป็นที่โด่งดัง เพราะหลังจาก นพ.กฤตไททราบผลการตรวจร่างกายว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ในวันที่ 10 พ.ย.2565 นพ.กฤตไทได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชีวิตตั้งแต่เด็กและชีวิตในรั้วโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กระทั่งสอบติดแพทย์ เชียงใหม่รุ่นที่ 56 ต้องจากกรุงเทพฯมาใช้ชีวิตที่ จ.เชียงใหม่ จนเรียนจบเฉพาะทาง 2 ด้าน เรียนจบปริญญาโทได้ทำงานเป็นอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมีแผนจะเรียนต่อปริญญาเอก กำลังมีชีวิตที่สวยงามและกำลังจะแต่งงานกับคนรัก ลงหลักปักฐานด้วยการซื้อบ้าน ก่อนตบท้ายโพสต์ด้วยข้อความสุดช็อกระบุว่ากำลังป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งที่เจ้าตัวเป็นนักกีฬา ดูแลสุขภาพอย่างดีด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอและเข้าฟิตเนสเป็นประจำ
เมื่อทราบว่าเป็นมะเร็งปอด
นพ.กฤตไทสร้างเพจ “สู้ดิวะ” บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้กับโรคมะเร็งปอดและเป็นที่ฮืฮฮาในโลกโซเชียล เนื่องจากมีผู้กดติดตามมากถึงเกือบ 8 แสนคนในเวลาไม่กี่วันและบรรดาผู้ติดตามยังเขียนข้อความให้กำลังใจกันอย่างมหาศาล จากนั้น นพ.กฤตไทยังเขียนหนังสือชื่อ “สู้ดิวะ” ถ่ายทอดชีวิตและให้ข้อคิดให้ผู้คนได้ตระหนักถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิตหลายๆเรื่อง พิมพ์ออกมาเมื่อเดือน ต.ค.2566 มีผู้ซื้อหนังสือเล่มนี้กันอย่างถล่มทลาย แต่เจ้าโรคมะเร็งก็ยังทำร้าย นพ.กฤตไทจนพ่ายแพ้หมดทางสู้ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างเต็มที่ แต่ก่อนที่ นพ.กฤตไทจะอำลาจากทุกคนไป นพ.กฤตไทได้ทำความฝันเรื่องหนึ่งของตัวเองให้เป็นจริงนั่นคือ จัดงานแต่งงานอันแสนงดงามและอบอุ่นกับ “หมอพีม” แฟนสาวที่เป็นเพื่อนร่วมเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 22 ต.ค. หลังจากนั้นวันที่ 2 พ.ย. เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว อัปเดตอาการป่วยระบุว่า “ผมคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วครับ ใครมีอะไรอยากพูดอยากบอกผม เชิญได้เลยครับ ผมน่าจะไปช่วงกลางเดือนหน้า จากนั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ ณ ตอนนี้ผมพิมพ์ได้เท่านี้ก็เอาละครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาครับขอโทษถ้าผมทำให้ใครไม่พอใจครับ”
วันเดียวกันหลังการจากไปของ
นพ.กฤตไท เพจ “สู้ดิวะ” ของ นพ.กฤตไท แอดมินเพจได้โพสต์ข้อความไว้อาลัย “หมอกฤตไท” ว่า หลายๆท่านคงได้ทราบเรื่องการจากไปของหมอกฤตไทเมื่อช่วงเช้าวันนี้แล้ว ตั้งแต่คุณหมอไทรู้ว่าตัวเองป่วยเมื่อช่วงปีที่แล้ว คุณหมอมีความตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ ให้มีค่ากับคนรอบข้างมากที่สุด พวกเราได้สร้างเพจ “สู้ดิวะ” นี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวแนวคิดต่างๆที่หมอไทได้ตกตะกอนในช่วงที่ต้องต่อสู้กับโรคร้าย ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมนั้น เกินกว่าที่หมอไทและพวกเรากลุ่มเพื่อนสนิทหวังไว้ไปมาก หลายท่านได้มีโอกาสกลับมาทบทวนแนวทางการดำเนินชีวิต หลายท่านได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวในฐานะผู้ป่วยระยะสุดท้าย และหลายท่านกลับมามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปจากการที่ได้อ่านโพสต์ของคุณหมอ
ในเพจระบุด้วยว่า
นอกจากจะได้แบ่งปันสิ่งต่างๆให้กับคนรอบตัว เพจนี้ยังเป็นเสมือนกำลังใจในการใช้ชีวิตให้กับคุณหมออีกด้วย หลายครั้งที่หมอไทท้อแท้หรือหมดกำลังใจจากการรักษาที่แสนทรมาน สิ่งหนึ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้หมออยู่เสมอ ก็คือเรื่องราวของผู้ติดตามเพจ “สู้ดิวะ” ที่ได้รับอะไรบางอย่างจากข้อเขียนของหมอไท ตอนนี้เพจ “สู้ดิวะ” ได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ในฐานะเพื่อนของคุณหมอไท ที่ได้ร่วมช่วยดูแลเพจนี้มาตลอด พวกเราอยากจะขอขอบคุณทุกคนที่อยู่เป็นกำลังใจให้กันมาจนถึงวันนี้ หลังจากนี้ถึงแม้จะไม่มีโพสต์ถัดไปจากคุณหมออีกแล้ว แต่พวกเราหวังว่าแนวคิดและแรงบันดาลใจที่คุณหมอได้สร้างไว้ จะถูกพูดถึง ส่งต่อ เป็นพลังให้กับผู้คนในสังคมต่อไป ขอบคุณทุกคนมากๆครับ แม็ก, ศีล, แก๊ป แอดมินเพจสู้ดิวะ
นอกจากนี้ ยังมีบทส่งท้ายจากคุณหมอกฤตไท ที่เพจสู้ดิวะนำมาเผยแพร่ ความโดยสรุปว่า ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงสรุปได้ว่า “ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหนอย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด” มาคิดดูดีๆ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดูผิดปกติเหมือนกันนะครับ ที่ผมจะต้องมาตายก่อนที่จะแก่ เมื่อก่อนผมดูแลตัวเองอย่างดี เพื่อที่ จะให้ตอนแก่ไม่เป็นโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน ไขมัน ความดัน ผมอยากเป็นคนแก่ที่ผมหงอกแต่มีกล้าม สุขภาพแข็งแรง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสไปถึงวันนั้นเสียแล้ว
นพ.กฤตไทเขียนอีกว่า ยอมรับว่ามันก็รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ แต่ก็นี่แหละครับ ชีวิต ชีวิตที่แสนเปราะบาง ชีวิตที่เราเคยเข้าใจผิดไปว่าเรามีสิทธิ์ในการจะบงการมันไปอีกยาวนาน ผมรักชีวิตของผมตอนนี้มาก ผมรักทุกคนรอบตัวผม รักทุกอย่างที่ผมมี รักทุกสิ่งที่ผมเป็น แน่นอนว่าผมไม่อยากจากไป แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมหวังว่าเรื่องของผมจะช่วยให้คุณกลับมามองชีวิตตัวเอง แล้วฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาเป็นโรคร้ายแบบผม ก่อนตบท้ายข้อเขียนด้วยเรื่องเล่าจากสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ขณะที่ นพ.กฤตไทไปเที่ยวญี่ปุ่น ที่เป็นประโยคสุดท้ายอันแสนสะเทือนใจว่า “ถ้าวันนี้ไฟยังสว่างและม้าหมุนยังคงทำงาน ผมจะมีความสุขไปกับช่วงเวลาที่ผมมีอยู่ครับ” ในโพสต์นี้มีเข้ามากดไลค์กว่า 1 แสนคน และแชร์โพสต์กว่า 5 หมื่นครั้ง
ขอบคุณข่าวจาก www.thairath.co.th