รวม 31 ความเชื่อ วันฮาโลวีน 2567
วันฮาโลวีน 2567

วันฮาโลวีน 2567 ปีนี้ตรงกับวัที่ 31 ตุลาคม แต่ทุกคนก็พอรู้กันอยู่แล้วว่ามันจะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมของในทุกๆ ปี แต่หลายคนก็อาจจะไม่รู้ว่า ก่อนที่จะมีคำว่า Trick or Treat จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายนั้น มีคำอื่นมาก่อน วันนี้เราเลยเอาการออกเสียงอีกอันมาฝากกับ รวม 31 ความเชื่อ วันฮาโลวีน 2567

รวม 31 ความเชื่อ วันฮาโลวีน 2567

ตำนานฮาโลวีน เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีก่อน ตามความเชื่อชาวเซลท์ (Celt) ที่เชื่อว่า วันที่ 31 ต.ค. ของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรกเปิด และเหล่าวิญญาณจะกลับมาสู่โลกปัจจุบันที่เราอยู่กันนั้นเอง แล้วมีความเชื่อเรื่องอะไรบ้างหล่ะกับ ฮาโลวีน

1.ที่มาคำว่า Halloween

มาจากภาษาอังกฤษ 2 คำรวมกันคือ Hallows ที่แปลว่าศักดิ์สิทธิ์, การบูชา และคำว่า Even ที่ย่อมาจาก Evening แปลว่า คืนก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย หรือ All Hallows' Eve ตามความเชื่อของชาวคริสต์ "All Hallows' Eve" หรือ "All Hallows' Evening" ซึ่งหมายถึงค่ำคืนก่อนวันฉลองนักบุญทั้งหมด (All Saints' Day) ในวันที่ 1 พฤศจิกายน

  • "Hallow" เป็นคำภาษาอังกฤษโบราณ หมายถึง "นักบุญ" (saint) หรือผู้ศักดิ์สิทธิ์
  • ส่วนคำว่า "Eve" แปลว่า "คืนก่อน" หรือ "ค่ำคืน"

เมื่อคำว่า "All Hallows' Eve" ถูกใช้บ่อย ๆ ในการพูด ก็ย่อลงมาเป็น "Halloween"

วันฮาโลวีนมีรากฐานทางวัฒนธรรมมาจากเทศกาลเซาวิน (Samhain) ซึ่งเป็นเทศกาลของชาวเคลต์โบราณในยุโรปตะวันตก ที่เฉลิมฉลองสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวและเริ่มต้นฤดูหนาว เชื่อกันว่าในคืนวันที่ 31 ตุลาคม วิญญาณของผู้ล่วงลับจะกลับมายังโลก คนจึงมีการจุดไฟและใส่หน้ากากเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย

2.วันฮาโลวีน-ชาวเซลติค

ชาวเซลติค ชาวพื้นเมืองของไอร์แลนด์ วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 พ.ย. พวกเขาจึงเชื่อกันว่าในคืนวันที่ 31 ต.ค.จะเป็นวันที่ประตูโลกมนุษย์เปิดเชื่อมกับโลกวิญญาณ จะมีวิญญาณบรรพบุรุษกลับมาหาครอบครัว แต่ก็จะมีวิญญาณเร่ร่อนตามมาสิงร่างอีกด้วย

ความเชื่อของชาวเซลต์เกี่ยวกับเซาวิน:

  1. การกลับมาของวิญญาณ: ชาวเซลต์เชื่อว่าในคืนวันที่ 31 ตุลาคม วิญญาณของผู้ล่วงลับจะกลับมายังโลกเพื่อมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องหรือสถานที่ที่พวกเขาเคยอยู่ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าวิญญาณชั่วร้ายและปีศาจก็จะมาปรากฏตัวในโลกมนุษย์ด้วย
  2. การปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย: เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายเข้ามารบกวน ชาวเซลต์จะจุดไฟและแต่งตัวในชุดที่น่ากลัวเพื่อขับไล่วิญญาณเหล่านั้น นี่ถือเป็นต้นกำเนิดของการแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายแปลก ๆ ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของฮาโลวีนในปัจจุบัน
  3. พิธีกรรมและการบูชายัญ: ในเทศกาลเซาวินมีการทำพิธีกรรมและบูชายัญเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวและเพื่อขอพรสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้ยังมีการทำนายดวงชะตาและการเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ

หลังจากที่ชาวเซลต์เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ บางส่วนของประเพณีเซาวินยังคงอยู่และค่อยๆ ผสมผสานเข้ากับ "All Hallows' Eve" ซึ่งกลายมาเป็น ฮาโลวีน (Halloween) ที่เรารู้จักในปัจจุบัน

3.แต่งผีไปหลอกผี

คนในยุคนั้นจึงปิดบ้าน ดับไฟให้มืด เพื่อบ่งบอกวิญญาณที่กลับมาในโลกมนุษย์ว่าที่นี่ไม่มีใครอยู่ และแต่งตัวเป็นผีเพื่ออำพรางตัวเองให้ผีเหล่านั้นจำไม่ได้ว่าเป็มนุษย์ และชุดที่คอสตูมที่ได้รับความนิยมในหมู่เด็กๆ ยุคปัจจุบัน อันดังแรกคือ มนุษย์แมงมุม Spider man ตามมาด้วยเจ้าหญิงดิสนีย์ และ มนุษย์ค้างคาว Batman  

  1. แต่งตัวให้เหมือนผีหรือสิ่งน่ากลัว: ชาวเซลต์จะแต่งกายด้วยหนังสัตว์หรือหน้ากากที่น่ากลัวเพื่อแกล้งทำเป็นหนึ่งในเหล่าวิญญาณ เพื่อที่พวกวิญญาณจะได้ไม่มารบกวน หรือบางครั้งเพื่อขู่ให้พวกมันกลัวและหนีไป
  2. การจุดไฟ: เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย ชาวเซลต์จะจุดกองไฟขนาดใหญ่เพื่อให้แสงสว่างและสร้างความอบอุ่น ซึ่งถือว่าเป็นการขับไล่วิญญาณชั่วร้าย
  3. การเคาะประตูขออาหาร: ในช่วงกลางยุคกลางในยุโรป มีประเพณีที่เรียกว่า "souling" คือ เด็ก ๆ และคนยากจนจะเดินไปเคาะประตูบ้านเพื่อขอขนมหรืออาหารในคืนวันฮาโลวีน โดยในยุคแรกๆ คนจะให้ "soul cakes" (ขนมเค้กวิญญาณ) แลกกับการสวดภาวนาให้วิญญาณผู้ล่วงลับของครอบครัว

ในยุคปัจจุบัน การแต่งตัวเป็นผีในวันฮาโลวีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองที่สนุกสนานและไม่มีความหมายทางศาสนาหรือความเชื่อมากเท่ากับในอดีต เด็ก ๆ และผู้ใหญ่จะสวมชุดแฟนซีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผี, ปีศาจ, แม่มด, หรือแม้แต่ตัวละครจากภาพยนตร์ เพื่อสร้างความสนุกสนานในคืนฮาโลวีน และยังมีประเพณี "trick or treat" ซึ่งเป็นการเคาะประตูขอขนมจากเพื่อนบ้าน โดยการขู่ว่าถ้าไม่ให้ขนมจะเล่น "กล" ใส่

4.Jack-o’-Lanterns ไม่ใช่ฟักทอง

แรกเริ่มเดิมที "Jack-o’-Lanterns" หรือตะเกียงฟักทอง ทำมาจากหัวผักกาด หรือ หัวบีตรูต แต่เมื่อความเชื่อวันฮาโลวีนกระจายไปถึงสหรัฐฯ ชาวอเมริกันจึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน เพราะหาง่ายกว่า และเจ้าตะเกียงฟักทองก็ไม่ได้มีแต่สีส้ม แต่มีหลากหลายสี เช่น สีเขียว สีขาว สีแดง สีเหลือ หรือ แม้แต่สีน้ำตาล

ตำนานและประวัติของ Jack-o'-Lanterns

  1. ตำนานของ "Stingy Jack": Jack-o'-Lanterns มีต้นกำเนิดจากนิทานพื้นบ้านของไอร์แลนด์ที่เล่าถึงชายชื่อ Stingy Jack เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ที่เคยหลอกปีศาจและไม่ยอมให้ปีศาจเอาเขาไปลงนรก แต่ก็ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ หลังจากที่เขาเสียชีวิต วิญญาณของเขาต้องเร่ร่อนไปตลอดกาล โดยมีเพียงแสงจากถ่านร้อนๆ หนึ่งก้อนที่ปีศาจให้มาเพื่อใช้ส่องทาง Jack จึงเอาถ่านก้อนนั้นใส่ในหัวผักกาดที่เขาแกะให้มีรูเหมือนตะเกียงเพื่อให้แสงสว่าง เป็นที่มาของ "Jack of the Lantern" หรือ Jack-o'-Lantern
  2. การแกะสลักหัวผักกาด: ในไอร์แลนด์และสกอตแลนด์ ผู้คนในท้องถิ่นจะแกะสลักหัวผักกาด มันฝรั่ง หรือบีท เพื่อทำให้เป็นตะเกียงที่น่ากลัว แล้วจุดไฟข้างในเพื่อขับไล่ปีศาจและวิญญาณชั่วร้ายในคืนเซาวิน (Samhain) ประเพณีนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องตนเองจากวิญญาณที่กลับมาในช่วงเทศกาล
  3. การเปลี่ยนมาใช้ฟักทอง: เมื่อชาวไอริชและสกอตแลนด์อพยพไปยังอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19 พวกเขาพบว่าฟักทองซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกามีขนาดใหญ่กว่า นุ่มกว่า และแกะสลักได้ง่ายกว่าหัวผักกาด ฟักทองจึงกลายมาเป็นพืชที่ใช้ทำ Jack-o'-Lanterns ตั้งแต่นั้นมา

ดังนั้น ในอดีต Jack-o'-Lanterns ไม่ได้ใช้ฟักทองเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน แต่ใช้หัวผักกาดหรือพืชประเภทหัวอื่น ๆ

5.ตำนานตะเกียงฟักทอง

ตำนานของ Jack-o’-Lanterns มีหลากหลายมาก ในที่นี้ขอเลือกตำนานจากไอร์แลนด์ เป็นเรื่องของชาวนาจอมเจ้าเล่ห์ที่ชื่อ แจ็ก โอ แลนเทิร์น ไปหลอกซาตานให้ติดกับดัก ก่อนปล่อยซาตานไป แจ็กบังคับซาตานให้สัญญาว่าจะไม่นำวิญญาณของเขาลงนรก ต่อมาเมื่อแจ็กตาย ซาตานก็แก้แค้นไม่นำวิญญาณแจ็กลงนรกตามคำสัญญา และปล่อยให้วิญญาณแจ็กเดินเร่ร่อนพร้อมตะเกียงไฟที่ครอบด้วยหัวผักกาด  

  • การหลอกปีศาจครั้งแรก: Stingy Jack เชิญปีศาจมาดื่มเหล้ากับเขา แต่เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน Jack ก็ไม่ยอมจ่าย เขาหลอกให้ปีศาจแปลงร่างเป็นเหรียญเพื่อให้ Jack สามารถใช้จ่ายได้ แต่แทนที่เขาจะนำเหรียญไปจ่ายค่าเหล้า Jack กลับใส่เหรียญนั้นไว้ในกระเป๋าที่มีไม้กางเขนอยู่ ทำให้ปีศาจไม่สามารถกลับคืนร่างเดิมได้ จนปีศาจต้องขอร้องให้ Jack ปล่อยเขาไป ซึ่ง Jack ยอมปล่อยแต่มีข้อแม้ว่าปีศาจต้องไม่มาเอาวิญญาณของเขาไปในช่วงเวลาหนึ่งปี
  • การหลอกปีศาจครั้งที่สอง: หนึ่งปีต่อมา ปีศาจกลับมาอีกครั้ง Jack ก็ยังคงเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม เขาหลอกปีศาจอีกครั้งโดยขอให้ปีศาจปีนขึ้นไปเก็บผลไม้จากต้นไม้ ปีศาจก็ยอมทำตาม แต่เมื่อปีศาจอยู่บนต้นไม้ Jack ก็แกะสลักรูปกางเขนบนลำต้น ทำให้ปีศาจไม่สามารถลงมาได้ จนต้องขอร้อง Jack ให้ช่วย ซึ่งครั้งนี้ Jack ยอมช่วย แต่มีข้อแม้ว่าปีศาจต้องสัญญาว่าจะไม่มาเอาวิญญาณของเขาไปอีกเลย
  • หลังจากการตายของ Jack: เมื่อ Jack เสียชีวิต วิญญาณของเขาไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะเขาเคยทำบาปมากมาย และปีศาจก็ไม่สามารถเอาวิญญาณของเขาไปได้เช่นกันตามข้อตกลงที่ทำไว้ Jack จึงถูกปล่อยให้เร่ร่อนอยู่ระหว่างสองโลก ไม่สามารถไปที่ไหนได้ ปีศาจสงสารจึงมอบถ่านที่กำลังลุกให้เขาหนึ่งก้อนเพื่อใช้เป็นแสงสว่าง Jack เอาถ่านก้อนนั้นใส่ไว้ในหัวผักกาดที่เขาแกะให้เป็นตะเกียงเพื่อช่วยส่องทางขณะเร่ร่อนในความมืด นับแต่นั้นเขาได้รับฉายาว่า "Jack of the Lantern" หรือ "Jack-o'-Lantern"

6.Trick or Treat 

จากตำนานที่น่ากลัว ถูกเปลี่ยนเป็นเทศกาลแห่งความสนุกไปตามกาลเวลา ผู้ใหญ่จะแต่งหน้า-แต่งตัวให้เด็กๆ เป็นผี จากนั้นเหล่าแก๊งผีเด็กน้อยก็จะไปเคาะตามประตูบ้าน พร้อมตะโกน "Trick or Treat " หากเจ้าของบ้านตอบ Treat แปลว่ายอมแพ้แล้วต้องให้ขนม ลูกกวาด แก่เด็กๆ แต่ถ้าตอบว่า Trick แปลว่ายอมให้เด็กๆ หลอก แต่สุดท้ายก็จะให้ขนมอยู่ดี 

ต้นกำเนิดของ Trick or Treat

  1. ประเพณี "Souling": ในยุโรปยุคกลาง โดยเฉพาะในอังกฤษและไอร์แลนด์ มีประเพณีที่เรียกว่า “souling” ซึ่งผู้คนจะเดินไปเคาะประตูตามบ้านในวัน All Souls' Day (วันที่ 2 พฤศจิกายน) เพื่อขอขนมปังที่เรียกว่า "soul cakes" (ขนมเค้กวิญญาณ) และให้คำมั่นว่าจะสวดภาวนาให้วิญญาณของผู้ล่วงลับในครอบครัวของเจ้าของบ้าน
  2. ประเพณี "Guising": ในสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ มีการเฉลิมฉลองคล้ายกับ Trick or Treat ที่เรียกว่า "guising" ซึ่งเด็ก ๆ จะแต่งกายด้วยชุดแฟนซี (guise) และไปเคาะประตูบ้านเพื่อขอขนมหรือผลไม้ แต่ต่างจากการพูดว่า "Trick or Treat" เด็ก ๆ จะต้องแสดงออก เช่น ร้องเพลง เล่าเรื่อง หรือเล่นกลต่าง ๆ เพื่อแลกกับขนม
  3. การกลายเป็น Trick or Treat ในอเมริกา: เมื่อผู้อพยพจากไอร์แลนด์และสกอตแลนด์เข้ามาในสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 19 พวกเขานำประเพณีเหล่านี้มาด้วย แต่ Trick or Treat อย่างที่เรารู้จักในปัจจุบันนั้นเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1920-1930 เดิมทีเป็นการเล่นแกล้งหลอกลวงผู้คน (tricks) โดยเฉพาะการเล่นแกล้งในคืนฮาโลวีน ซึ่งในเวลาต่อมาผู้คนจึงเริ่มให้ขนมเพื่อป้องกันการถูกแกล้ง และนั่นทำให้กลายเป็นการให้ขนมแทนที่จะเล่นกลหรือแกล้งในคืนฮาโลวีน

ความหมายของ "Trick or Treat"

  • Trick หมายถึงการเล่นแกล้ง หรือหลอกเจ้าของบ้าน หากเจ้าของบ้านไม่ยอมให้ขนม
  • Treat หมายถึงขนมที่เจ้าของบ้านมอบให้เด็ก ๆ เพื่อตอบแทนและป้องกันไม่ให้ถูกเล่นแกล้ง

ในยุคปัจจุบัน Trick or Treat เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานสำหรับเด็ก ๆ พวกเขาจะได้รับขนมจากบ้านต่าง ๆ ที่เตรียมขนมไว้แจก และประเพณีนี้ได้พัฒนาให้กลายเป็นกิจกรรมสำคัญของวันฮาโลวีน

7.Soul Candy

แต่ก่อนที่ผู้ใหญ่จะแจกขนมหวาน ลูกกวาดสีสันสดใสให้เด็กๆ นั้น ในยุคก่อนชาวบ้านจะทำขนม "Soul candy" หรือขนมสำหรับวิญญาณ เอาไว้แจกในคืนฮาโลวีน ด้วยความเชื่อที่ว่ายิ่งแจกให้คนอื่นมากเท่าไหร่ ก็ถือว่าได้ทำบุญให้กับผู้ที่จากไปมากเท่านั้น 

8.ร้านขนมรับทรัพย์

ยอดขายสินค้าประเภทของหวาน ขนมหวาน ลูกอม จะสูงขึ้นมาก เพราะเป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลฮาโลวีน ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เทศกาลฮาโลวีนสร้างรายได้เป็นอันดับ 2 รองจากเทศกาลคริสต์มาส และก็เป็นช่วงที่เด็กๆ มีความสุขเช่นกัน เพราะจะได้กินขนมหวานอย่างไม่อั้น โดยที่พ่อแม่ไม่ดุ แต่ก็ต้องไม่ลืมแปรงฟันก่อนนอนกันด้วยนะ

9.ส้ม-ดำ สีประจำฮาโลวีน

เพราะช่วงวันฮาโลวีนตรงกันช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยว ลองนึกถึงทุ่งนาที่พร้อมเก็บเกี่ยวเต็มไปด้วย "สีส้ม" เป็นสัญลักษณ์ ส่วน "สีดำ" ก็หมายถึงความตาย 

10.พระอาทิตย์ฟักทอง 

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2563 "นาซา" ร่วมฉลองเทศกาลฮาโลวีนด้วยการเผยภาพ ดวงอาทิตย์ที่คล้ายตะเกียงฟักทอง ภาพดังกล่าวเป็นภาพถ่ายดวงอาทิตย์จากห้วงอวกาศมีแสงสว่างวาบเป็นช่วงๆ คล้ายกับตะเกียงฟักทอง ภาพนี้ถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2557 

11.The Day of The Dead

เป็นชื่อเรียกเทศกาลฮาโลวีนของชาวเม็กซิกัน ซึ่งได้รับแนวคิดนี้ในช่วงที่ชาวอาณานิคมสเปนนำอารยธรรมเข้ามาผสมผสานกับความเชื่อท้องถิ่น ในช่วงศตวรรษที่ 16 ต่อมาทางเม็กซิโกได้กำหนดให้วันที่ 31 ต.ค. - 2 พ.ย. เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความตาย

12.Apple Bobbing

นอกจากการแกล้งแต่งตัวเป็นผี แล้วเคาะประตูหลอกตามบ้านแล้ว ที่อังกฤษยังมีการละเล่นที่เรียกว่า Apple Bobbing ที่ผู้เล่นต้องพยายามงับผลแอปเปิลในถังน้ำด้วยปากออกมาให้ได้ ระหว่างเล่นต้องเอามือไขว้หลังไว้ตลอดเวลา ถ้าใครทำได้สำเร็จก่อนถือว่าเป็นผู้ชนะ และถือว่าเป็นคนโชคดีตลอดปี 

13.แมวดำสัญลักษณ์ซาตาน

คนในยุคกลางมีความเชื่อว่า "แมวดำ" เกี่ยวข้องกับซาตาน บางคนเชื่อว่าเป็นสมุนของแม่มด หรือเป็นแม่มดที่แปลงกายเป็นสัตว์ แมวดำจึงถูกตีตราเป็นเป็นสัตว์อัปมงคลในแง่ของความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจ กระทบให้หลายที่พักในช่วงเทศกาลฮาโลวีน ไม่อนุญาตให้นำแมวดำเข้าพักด้วย แต่ในยุคนี้ หลากสถานที่เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ร้านที่ไม่เชื่อก็รับทรัพย์ไปเต็มๆ 

14.แม่มดตัวเป็นๆ  

มีอีกความเชื่อที่ว่า ก่อนเที่ยงคืนของวันฮาโลวีน หากใส่เสื้อผ้ากลับด้าน เดินถอยหลังภายในบ้าน จากนั้นรอจนถึงเวลาเที่ยงคืน ก็จะปรากฏแม่มดตัวจริงเสียงจริงออกมาให้ได้เห็นกัน แต่จะมาที่ไหนต้องรอดูอีกที

15.ปีศาจวันฮาโลวีน

ความเชื่อชาวยุโรป เชื่อว่า แวมไพร์, มนุษย์หมาป่า, แฟรงเกนสไตน์, ซอมบี และ แม่มด เป็นปีศาจที่ชอบออกมาเพ่นพ่านในค่ำคืนฮาโลวีน โดยปีศาจเหล่านี้ถูกสะท้อนออกมาด้วยการแต่งตัวเลียนแบบของผู้ใหญ่ในวันฮาโลวีน

16.เทศกาลรวมญาติ

แม้จะเป็นเทศกาลรื่นเริง สร้างเสียงหัวเราะ แต่ฮาโลวีนก็ถือเป็นเทศกาลที่ทำให้คนในครอบครัวได้กลับมาเจอกัน ร่วมรับประทานอาหารค่ำ เล่นเกม และเมื่อตกดึกก็ตั้งวงนั่งเล่าเรื่องสยองขวัญหรือเรื่องตำนานผี ในอดีตการรวมตัวกันของเพื่อนๆ จะร่วมกันทำนายรูปลักษณ์ของคู่ครองในอนาคตจากการโยยนเปลือกแอปเปิลไปข้างหลัง ให้ออกมาเป็นอักษรนำหน้าชื่อ หรือการจุดเทียนหน้ากระจก เพื่อส่องดูหน้าตาของคู่ครอง 

17.ฮาโลวีนเกิดก่อนคริสต์มาส

มีบันทึกไว้ว่า 600 ปีก่อนคริสตกาล มีการจัดงานในยุโรปที่ชื่อ Samhain ที่แปลว่า งานสิ้นสุดฤดูร้อน โดยมีความเชื่อว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่โลกมนุษย์กับโลกแห่งความตายอยู่ใกล้กันมากที่สุด ส่วนบันทึกของวันคริสต์มาส ระบุว่าหลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธ.ค. เป็นงานสมโภชการประสูติของพระเยซูตามพิธีกรรมแบบคริสต์นั้นปรากฏใน "ปฏิทินแห่ง ค.ศ. 354" 

18.แกะสลักฟักทองไวที่สุดในโลก  

Stephen Clarke นักแกะสลักชาวสหรัฐฯ เขาสร้างสถิติโลกแข่งขันแกะสลัก Jack-o’-Lanterns หรือตะเกียงฟักทอง ด้วยการแกะวลักตา จมูก ปาก และใส่เทียนไว้ข้างใน ด้วยเวลา 16.47 วินาที

19. ประกวดฟักทองใหญ่ที่สุดในโลก

แน่นอนว่าสัญลักษณ์ฮาโลวีนที่ทุกคนนึกถึงคือ ฟักทอง และมีการแข่งขันประกวดฟักทองขนาดใหญ่เป็นประจำทุกปีที่สหรัฐฯ จนประทั่งปัจจุบัน ฟักทอง "Tiger King" เป็นฟักทองที่ครองแชมป์ฟักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนัก 1,065.9 กก. หรือกว่า 2,350 ปอนด์ สูง 6 ฟุต กว้าง 6 ฟุต  ปลูกโดย Travis Gienger จากรัฐมินเนสโซตา 

20.นิวแฮมเชียร์สร้างสถิติโลกจุดไฟฟักทอง

แม้จะไม่ชนะในการประกวดฟักทอง แต่ชาวนิวแฮมป์เชียรืกลับสร้างสถิติโลกใหม่ ด้วยการจุกไฟใน Jack-o’-Lanterns สว่างมากที่สุดในโลก ในเทศกาลฟักทองประจำปีของเมืองเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2556 โดยชาวเมืองร่วมใจกันจุกฟักทองแกะสลักกว่า 30,581 อัน 

21.แคนาดามีเคอร์ฟิววันฮาโลวีน 

เด็กๆ แต่งตัวเป็นผีไล่เคาะประตูบ้านในวันฮาโลวีน เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปในทวีปยุโรป และ สหรัฐฯ แต่ที่แคนาดา มีกฎหมายห้ามผู้ที่อายุเกิน 16 ปีเล่น Trick or treat หลังเวลา 20.00 น. โดยอ้างว่าเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัย และป้องกันเหตุอันตรายที่อาจเกิดขึ้น 

22.Black Halloween

ค่ำคืนแห่งการแกล้งกันในเทศกาลรื่นเริงแต่ก็ไม่ร่าเริงเสียทั้งหมด การแกล้งของเด็กวัยรุ่นในยุคนั้น ค่อยๆทวีความรุนแรงและทำให้ทรัพย์สินสูญเสียมากขึ้น เช่น เด็กชายประมาณ 200 คนในรัฐเคนตักกี้แกล้งเอาศพปลอมไปวางไว้บนรางรถไฟ ทำให้รถไฟต้องหยุดวิ่ง, นักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนขโมยศพไปวางไว้หน้าอาคารเพื่อหลอกคน

กระทั่งในปี ค.ศ.1933 เด็กผู้ชายหลายร้อยคนช่วยกันทำลายรถยนต์ เลื่อยเสาไฟ ก่อกวนประชาชนไปทั่ว มูลค่าความเสียหายทางทรัพย์สินที่เกิดขึ้นมีมากกว่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยที่พวกเขาคิดว่า ค่ำคืนแห่งฮาโลวีน จะสามารถแกล้งคนมากเท่าไหร่ก็ได้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นถูกบันทึกและเรียกว่า Black Halloween 1933 

23.ชาวอเมริกันชอบชุดฮาโลวีนสำหรับสัตว์เลี้ยง

ไม่ใช่แค่การแต่งตัวให้กับคนในครอบครัวเท่านั้น แต่การตกแต่งบ้าน และการแต่งตัวให้สัตว์เลี้ยงก็เป็นความสุขอีกอย่างเช่นกัน ข้อมูลของสหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ ระบุว่า 1 ใน 5 คน วางแผนที่จะแต่งตัวสัตว์เลี้ยงของตนสำหรับวันฮาโลวีน 2564 และในปี 2565 เงินสะพัดในส่วนการซื้อเครื่องแต่งกายสัตว์เลี้ยงมีมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

24.คู่มือฮาโลวีน

ฮาโลวีนไม่ใช่เรื่องเล่าปากต่อปากเพียงเท่านั้น แต่ชาวอเมริกันมีหนังสือคู่มือ ที่บอกวิธีปฏิบัติสำหรับวันฮาโลวีนประจำปี โดยที่คู่มือปาร์ตี้ฮาโลวีนอย่างเป็นทางการฉบับแรกชื่อ "วันฮาโลวีน : วิธีเฉลิมฉลอง" (Halloween : How to celebrate it) ได้รับการตีพิมพ์อย่าวเป็นทางการในปี พ.ศ. 2440

25.สคส.ฮาโลวีน

ในช่วง ค.ศ.1905-1920 มีผู้คนนิยมส่งการ์ดวันฮาโลวีนมากกว่า 3,000 ชิ้น หลายคนส่งเพื่อทักทายกันเหมือนกับเทศกาลส่งความสุขอื่นๆ และมีแม้กระทั่งการโทรศัพท์หาครอบครัว เพื่อน เพื่อส่งคำอวยพร Happy Halloween!

26.ฮาโลวีนไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น

วันฮาโลวีนเคยเป็นเทศกาลของเด็กๆ และผู้ใหญ่ก็อาจมีส่วนร่วมบ้าง แต่จากข้อมูลของ NRF (National reserch foundation) พบว่าประมาณร้อยละ 55 ของครัวเรือนที่ไม่มีลูก วางแผนที่จะเฉลิมฉลองวันฮาโลวีนในปี ค.ศ.2021 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 49 ปี 2020 และในปี 2022 คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายซื้อชุดฮาโลวีนสำหรับผู้ใหญ่จะสูงถึง 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

27. M&Ms คือขนมฮาโลวีนที่นิยมที่สุด

จากการวิจัยของ YouGov ขนมหวานสำหรับเทศกาลฮาโลวีนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ M&Ms ตามมาด้วย แครกเกอร์เนยถั่วของ Reeseโดยทั้ง 2 อย่างขายดีมากในเด็กอายุช่วง 8-14 ปี

28.ก่อนจะจบที่ฟักทอง

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 ข้อมูลจากคู่มือแนะนำวันฮาโลวีนระบุว่า คนพยายามที่จะแกะสลักผัก ผลไม้ชนิดอื่น เช่น แอปเปิล แตงกวา หรือแม้กระทั่ง มะระ แต่สุดท้ายก็จบลงที่ "ฟักทอง" 

29.พระจันทร์เต็มดวงในวันฮาโลวีน

แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกปี! ตามสถิติของ NASA บอกว่าทุกๆ 19 ปี มนุษย์จะได้เห็น บลู มูน (Blue Moon) ด้วย แต่บลูมูนในที่นี้ไม่ได้แปลว่า พระจันทร์สีฟ้า แต่หมายถึงพระจันทร์เต็มดวง และวันฮาโลวีนครั้งล่าสุดที่พระจันทร์เต็มดวงก็คือปี 2020 ที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าต้องรอไปจนถึงปี 2039 กว่าจะได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงในวันฮาโลวีนอีกครั้ง

30.คืนขอทานของชาวดิมอยน์

แม้ว่าหลายๆ เมืองจะเฉลิมฉลองวันฮาโลวีนในวันที่ 31 ต.ค.อย่างมีความสุข แต่ชาวเมืองดิมอยน์ รัฐไอโอวาก็มีประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คืนขอทาน" ที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1930 เป็นกิจกรรมเชิงบวกที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 ต.ค. เพื่อให้ชาวเมืองได้รู้จักการให้และรับ

31.Belnickeling 

ข้อมูลหอสมุดแห่งชาติ ระบุว่า สมัยโบราณเคยมีประเพณีเก่าแก่ของชาวเยอรมัน-อเมริกันที่เรียกว่า Belsnickeling ซึ่งเป็นประเพณีที่เด็กๆ แต่งตัวในเครื่องแต่งกายสำหรับคริสต์มาสและไปเยี่ยมเพื่อนบ้านของพวกเขา ทำให้นักประวัติศาสตรืเชื่อมโยงเหตุการณ์ว่า เทศกาล Belnickeling อาจเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดการเล่น Trick or Treat ในปัจจุบันก็ได้ 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipbs.or.th

อ่านบทความเพิ่มเติม คลิก

ติดต่อโฆษณา

097-126-1282

065-964-0535