จากการที่เมื่อปี 1997 (พ.ศ.2540)กลุ่มประเทศผู้นำ มีการร่วมลงนามในข้อตกลงนี้ซึ่งเรียกกันว่า“พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)” ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต่อสู้กับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดให้ประเทศที่เข้าร่วมต้องลดการปล่อยก๊าซเพื่อรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2°C เทียบเท่าก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยมี 190 ประเทศที่เข้าร่วม
และเป็นที่มาของการเกิด “ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)” ซึ่งลงนามในปี 2015 (พ.ศ.2558)โดยมีถึง 197 ประเทศที่เข้าร่วม (รวมทั้งประเทศไทย) โดยประเทศไทยได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ 20%–25% ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ผ่านการดำเนินการทั้งในส่วนของพลังงานและขนส่ง อุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการจัดการของเสียและตั้งเป้าการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2037 (พ.ศ. 2580) โดยได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป
สำหรับ องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้โลกลดการปล่อยก๊าซเป็นศูนย์(ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก)โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้เกือบครึ่งหนึ่งภายในปี 2028 (พ.ศ.2571) และให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593)ขณะที่ สหภาพยุโรป (EU) ตั้งเป้าให้ประเทศสมาชิกลดการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) เช่นกัน จึงเป็นที่มาของ Net Zero หรือเป้าหมายที่หลายองค์กรมุ่งเป้าการปล่อยมลพิษหรือคาร์บอนไดออกไซค์สู่สิ่งแวดล้อมเป็น 0% (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์) เพื่อจุดมุ่งหมายในการลดอุณหภูมิโลกลงอย่างน้อย 1-2 องศาเซลเซียส
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ นานาประเทศต้องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ นานาประเทศต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้เกือบครึ่งหนึ่งภายในปี 2028 และให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
ในส่วนของประเทศไทยหลายภาคอุตสาหกรรมก็เริ่มมีการตื่นตัว และประกาศเป็นองค์กรที่แสดงต่อความรับผิดชอบกับเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) หรือ ESG และก้าวสู่ Net Zero ในปี 2593 ซึ่งรวมถึงภาคธุรกิจอสังหาฯด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็ทยอยประกาศตัวเตรียมก้าวสู่ Net Zero กันอย่างต่อเนื่อง
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/97B7D3F6-48E9-4098-80B1-D69C82892B95-1068x801-1-1024x768.jpeg)
ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยน มิเช่นนั้นเดินหน้าต่อไม่ได้
แต่จากการเปิดเผยของ นายชูโชค ศิวะคุณากร Head of ESG & BSE SCG CGS บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ในงานสัมมนาวิชการปี 2566 (ครั้งที่ 3) ซึ่งจัดโดยสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ภายใต้หัวข้อ “โอกาสทางการตลาดคาร์บอน สำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” กล่าวว่า ทุกวันนี้โลกเกิดวิกฤติด้านความร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการดำเนินธุรกิจนั้นหากไม่มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจก็จะเดินหน้าต่อไม่ได้ หากไม่ให้ความสำคัญหรือไม่แสดงต่อความรับผิดชอบกับเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืนEnvironmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) หรือ ESG สถาบันการเงินต่างๆหรือกองทุนต่างๆ ก็จะมีความชัดเจนว่า หากธุรกิจไหนที่ก่อให้เกิดมลภาวะมาก ก็จะไม่เข้าไปลงทุน ซึ่งทุกบริษัทเร่ิมเห็นความชัดเจนขึ้น หากไม่เน้นเรื่อง ESG กลุ่มสถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ จะไม่ใช้หรือลดทอนการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทฯนั้นๆ
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/D84BB793-8DD1-43DF-9EF1-DA6D67570EC6-1068x601-1-1024x576.jpeg)
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/4AD2B55A-06E1-4729-8150-FC82BC45A227-1068x601-1-1024x576.jpeg)
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก ซึ่งอาจจะต้องตั้งผลกำไรต้องตั้งที่พอเหมาะหรือลดน้อยลง และส่วนที่เหลือมาแบ่งใน 2 มิติ คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม และในเรื่องของสังคม โลกยุคใหม่คงต้องอยู่ที่ทิศทางของแต่ละธุรกิจ ที่ต้องแบ่งปันไปใน 2 มิติดังกล่าวให้มากขึ้น ในประเทศไทย ก็มีโอกาสได้ไปพบกับภาครัฐมากขึ้น ซึ่งก็พยายามสร้างความเข้าใจ และเข้ากฎระเบียบดังกล่าว เรื่องนี้คำถามมีเพียงแค่ 2 ข้อเท่านั้นที่ต้องช่วยกัน โดยธุรกิจขนาดกลาง–ขนาดเล็กอยู่ในสภาวะที่เอาชีวิตรอด ที่ทุกธุรกิจต้องแข็งแรง โดยต้องลดโลกร้อน และเป็นสังคมสีเขียวมากขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายของประเทศไทย โดยยุโรปและอเมริกา ได้ดำเนินการมาร่วม 20 ปีแล้ว
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/9F999EEB-B77A-45E4-8554-7F0489FCBB33-850x478-1.jpeg)
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/2622ED04-7FD1-44F4-BA8C-CA2E63BACD7F-850x478-1.jpeg)
“แต่ประเทศไทยได้ประกาศว่าจะเป็น NET ZERO หรือการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ในปี 2050 แต่ในด้าน NET ZERO จริงๆ คือ 2065 ในด้านของ SCG ได้วางเป้าว่าปี 2050 จะมุ่งไปที่ NET ZERO เร็วกว่าประเทศประมาณ 15 ปี หากเป็นในเชิงภาคธุรกิจก่อสร้าง ถ้ามองในด้านของ EMBODIED CARBON REDUCTION STRATEGY หากมองในตัวเลขถือว่ามี 4 ส่วน และ 3 ส่วนถือเป็นช่วงที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ 1 ในที่ 4 ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งสิ่งที่จะชี้ว่า ตั้งแต่ในด้านการออกแบบจะเห็นว่า ส่วนที่เกี่ยวกับ ORPERATE จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพลังงานเกือบทั้งหมดเพราะฉะนั้นอาคารไหนที่ออกแบบสามารถเป็น NET ในเชิงพลังงานได้ ซึ่งในระยะยาวก็คือทางรอดได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่าเขาจะจ่ายเราเท่าไหร่ อันนี้คือความท้าทาย และก็จะเกิดปรากฏการณ์ว่า อาคารที่ไม่ได้รองรับเรื่อง NET ZERO ก็จะถูกทิ้งงาน ซึ่งคือความสูญเสียอีกประเภทหนึ่ง ถือเป็นมิติวิธีเชื่อและวิธีคิดในการสร้าง–ออกแบบ และสมดุลย์ในส่วนของเรื่องเงินที่จะต้องใส่กับสิ่งที่ลูกค้าจะยอมรับการใช้หรือไม่”
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/C17219B0-597A-4441-9952-587DE31FC795-1068x601-1-1024x576.jpeg)
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/1DF98327-8195-4002-A84F-1C1B005B34C7-1068x601-1-1024x576.jpeg)
ในโลกนี้ ณ วันนี้ กลุ่มส่วนประกอบที่ไม่แพง อายุยืน และรับน้ำหนักได้ดีที่สุด ก็คือ ซีเมนต์คอนกรีต ที่จะหาสิ่งอื่นมาเพิ่มมูลค่าไม่ได้ เพราะฉะนั้นคิดว่าในช่วงระยะเวลาอันใกล้ก็ยังใช้ส่วนประกอบนี้อยู่ แต่จะทำอย่างไรให้ปล่อย CO2 ให้น้อยลง อีกส่วนหนึ่งคือ มีการขีดไว้ว่าในเมื่อภาคของการก่อสร้างปล่อยคาร์บอนมาก ขอไม่สร้างได้หรือไม่ แต่ปรับเปลี่ยนการใช้งานให้เหมาะสมได้หรือไม่ เทรนด์ในอนาคตที่น่าสนใจคือ บ้านสามารถเป็นได้ทุกอย่างได้หรือไม่ หรืออาคารสำนักงาน อนาคตคงต้องมีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 1 อย่าง เป็นต้น
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/11ADFF8B-7824-4FA6-AE82-B556F3011EEE-1068x601-1-1024x576.jpeg)
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/1243A9DE-A730-4684-B04C-8DE84B0809A3-1068x601-1-1024x576.jpeg)
ส่วนเรื่องการรีไซเคิลก็สามารถทำได้ แต่จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว แต่ก็ต้องไปต่อให้ได้ในสเกลที่ต้องเรียนรู้และยังไม่ใหญ่มากนัก ส่วนในภาคของซีเมนต์สำหรับอุตสาหกรรมในประเทศไทย ได้ตั้งเป้าว่าในปี 2050 จะเป็น Net Zero เช่นกัน ณ วันนี้ปล่อย CO2 มา 30 กว่าล้านตัน
“การที่จะไปสู่ NET ZERO นั้น ครึ่งหนึ่งเกิดจากเรื่องของสินค้า อีกส่วนคือ N2N คือใช้ในเรื่องของดีไซน์ และ BUILDING INFORMATION MODELING(BIM)มาช่วยในงานก่อสร้าง อีกเรื่องคือการปลูกป่า ซึ่ง SCG ไปปลูกมาแล้วหลายแห่ง ปรากฏว่าเข้าเนื้อ 3-4 เท่าตัว ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่า ที่มีเป็นแสนบริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้”
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/8101E96D-CFCB-41F1-AD41-8C11EDBB9E30-1068x601-1-1024x576.jpeg)
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/9CAE35D3-E6F2-4671-ACAE-F69C201A5BDA-1068x601-1-1024x576.jpeg)
ในส่วนของ SCG เอง มีแนวทางประกาศนโยบายมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อว่า “SCG 4 PLUS” โดยทุกการเดินของธุรกิจ SCG จะใช้ “SCG 4 PLUS” เป็นตัวนำ โดยเน้นในเรื่อง 1. Net Zero 2.Go Green 3.Reduce. Inequality 4.Embrace Collaboration และคาดว่าในปีนี้ในเรื่องปูนลดโลกร้อน จะใช้ได้ 100%
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/E5137605-D402-4F0D-A80D-7C181DBC4A0D-1068x601-1-1024x576.jpeg)
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/726E3FF6-F2AC-4B8E-A3FE-87B5554150BF-1068x601-1-1024x576.jpeg)
ในส่วนของงานก่อสร้างอาคารต่างๆผู้ประกอบการก็จะมีจุดขายใหม่ๆในเรื่องความยั่งยืนนำเสนอลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งนี้อาคารสูงยุคใหม่ที่สร้างขึ้นมาก็เข้าสู่กระบวนการ ซึ่งพบว่าผู้ซื้อหรือผู้เช่าอาคาร ก็จะให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน โดยเฉพาะการร่วมตั้งบริษัทกับ BIM เพื่อนำระบบมาใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยลดคาร์บอนได้มาก และที่ผ่านมา SCG ก็ได้ร่วมกับบริษัท นันทวัน จำกัด (Thai Obayashi Corporation Limited) ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ก็หวังจะเข้าสู่ N2N มาใช้ในวงการก่อสร้างให้ได้ต่อไปใน
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/5D5DD2DE-F048-4E49-98D7-87D02919926B-1068x601-1-1024x576.jpeg)
ใครปรับตัวก่อนอยู่รอดได้ในห่วงโซ่เศรษฐกิจอนาคต
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/888EB108-D4C2-4AFC-BC86-FD914691BEB2.jpeg)
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือSIRI กล่าวว่า มองว่าโลกทุกวันนี้เป็นระบบการค้าระหว่างประเทศ เพราะ Net Zero เป็นเรื่องระบบที่ใหญ่ระดับโลก ซึ่งนับจากนี้ไปก็จะกลายเป็นกฎ หรือข้อกำหนดที่ทุกองค์กรจะต้องดำเนินการ เพราะมิเช่นนั้นจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศต่อไปได้ สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้จะมีความเชื่อมโยงกัน เชื่อว่าไม่ทางใดทางหนึ่งทุกองค์กรในประเทศไทย อย่างไรก็ได้รับผลกระทบ โดยในอนาคตทุกบริษัทจะต้องมีในเรื่องของการส่งออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรป จะต้องถูกบังคับในการดำเนินธุรกิจไปโดยปริยาย ซึ่งรวมไปถึงซัพพลายเชนด้วยมองว่านับวันจะใกล้ตัวเข้ามาแล้ว เชื่อว่าทุกองค์กรจะถูกถ่ายทอด ถูกกฎระเบียบต่างๆเหล่านี้เข้ามากำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกองค์กรต้องมีการปรับเปลี่ยน มีการหาความรู้ว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร ซึ่งมองว่าหลายๆเรื่องเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากสามารถทำได้ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องของการเพิ่มของต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีระยะเวลาในการปรับตัว ซึ่งมีการประเมินตัวเอง ตั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ออกมา โดยแผนระยะยาว ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ยังมาไม่ถึง ก็ต้องรอไปก่อน ซึ่งอีก 5-10 ปีอาจจะมาถึง ก็ค่อยนำเทคโนโลยีเหล่านี้ที่มอนิเตอร์อยู่ตลอดเวลากลับมาใช้ และสามารถก้าวเดินต่อไปได้ ซึ่งผู้ที่ปรับตัวได้ก่อนก็จะอยู่รอดในสังคมหรือในห่วงโซ่เศรษฐกิจในอนาคตได้ดีกว่า
ส่วนความท้าทายในการก้าวสู่ Net Zero มองว่าแต่ละองค์กรจะไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละองค์กรรู้หรือยังว่าตนเองอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก โดยสิ่งที่ท้าทายอันดับแรกเลย คือหากไม่รู้เรื่อง ต้องดูก่อนว่าธุรกิจที่ดำเนินการอยู่คืออะไร ธุรกิจที่ดำเนินการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ โดยคนรุ่นใหม่จะให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพราะจะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ในอนาคต เชื่อว่าถ้าระดับผู้บริหารที่อยู่ในวัย 40-60 ปี ที่สามารถกำหนดนโยบายหรือแนวทางในการดำเนินธุรกิจให้กับคนรุ่นใหม่ ก็เชื่อว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เรียนรู้ได้เร็วมาก
ประกาศสู่ Net Zero ในปี’93 ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก
ทั้งนี้ในส่วนของแสนสิริฯเอง ก็มีการประกาศว่ามีแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจโดยตรงของบริษัท (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ให้ได้ 20% ภายในปี 2025 (พ.ศ.2568) และลดก๊าซเรือนกระจกของทั้งขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ให้อยู่ที่ 50% ในปี 2033 (พ.ศ.2576) โดยมีเป้าหมายสูงสุดสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net-Zero ให้ได้ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1 ยกระดับการการใช้นวัตกรรมเพื่อพลังงานสะอาดเป็น 100% ภายในปี 2025 (พ.ศ.2568) ผ่านการขยายแผนการติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ครบ 100% ให้กับบ้านแสนสิริทุกหลังทุกระดับราคา ติดตั้ง Solar Roof ครบ 100% ในคลับเฮาส์ของทุกโครงการใหม่แสนสิริ ติดตั้งระบบสูบน้ำและบำบัดน้ำเสียพลังงานแสงอาทิตย์ ในพื้นที่ส่วนกลางของทุกโครงการ เปลี่ยนรถส่วนกลางของบริษัทให้เป็นรถ EV 100% และเปลี่ยนการใช้น้ำมันของเครื่องจักรทุกชนิดมาใช้พลังงานไบโอดีเซล 100%
กลยุทธ์ที่ 2 ออกนโยบายด้านธรรมาภิบาล เพื่อลดคาร์บอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า เช่น Cool Living Designed Home นวัตกรรมบ้านเย็นช่วยประหยัดพลังงาน,Zero Waste Design การออกแบบที่ลดการสิ้นเปลืองและลดปริมาณขยะให้มากที่สุด,Universal Design การออกแบบเพื่อทุกคน ทุกวัย,Well Being ด้านคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของผู้อยู่อาศัย สะอาดปราศจากเชื้อโรคเสริมสร้างที่อยู่อาศัยด้วยนวัตกรรมเพื่อโลกเพื่อสิ่งแวดล้อม
กลยุทธ์ที่ 3 ตั้งงบประมาณ 500 ล้านบาท ในการลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว ซึ่งปัจจุบันได้ลงทุนไปแล้ว 3 บริษัท คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท
อึ้ง!ลูกค้าโครงการมีการใช้พลังงานภายในบ้านล่วงหน้าถึง 60 ปี
ทั้งนี้แสนสิริวางแผนที่จะจับมือพันธมิตรกว่า 10 ราย ตั้งทีมวิจัยและพัฒนา เพื่อพัฒนาบ้านที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ครั้งแรกของอุตสาหกรรมอสังหาฯ ไทยให้ได้ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) โดยมีบริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้าครบวงจร และบริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ จำกัด ผู้พัฒนาโซลูชันพลังงานโซลาร์ครบวงจรเป็นหนึ่งในพันธมิตร มีเป้าหมายระยะสั้นและระยะกลางที่จะพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน ภายในปี2023 (พ.ศ.2566) และบ้านที่ลดการปล่อยคาร์บอน 30% ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยเทรนด์แห่งอนาคตและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน
“ในเรื่อง ESG นั้นแสนสิริได้นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 90% โดยจากการเก็บข้อมูลพบว่า ตัวเลขการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากที่สุด คือบ้านของลูกค้าที่มีการใช้พลังงานภายในบ้านล่วงหน้าถึง 60 ปีข้างหน้า พบว่าแต่ละปีลูกบ้านมีการใช้พลังงานทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 2,788,279 ตันต่อปี และเกี่ยวพันกับการสร้างบ้าน รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆด้วย“
![เทรนด์โลกเปลี่ยนเข้าสู่ Net Zero](https://jepata.com/wp-content/uploads/2023/12/D845E5C5-B62B-4622-A440-DC77AF2B86C4.jpeg)
จับตาภาคอสังหาฯถูกกดดันแบงก์ปล่อยสินเชื่อไม่เท่ากัน
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า แม้ว่ากานดาฯจะไม่ใช่บริษัทฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ในด้านการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคม ก็มีการคำนึงถึงกันมากขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวประเทศในกลุ่มยุโรปจะริ่เริ่มขึ้นมาก่อน สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มประเทศอยู่ในระหว่างการพัฒนา จึงมีโอกาสที่จะปลูกป่า เพื่อเป็นCarbon Credit ได้เช่นกัน ซึ่งบริษัทรายใหญ่ในหลายอุตสาหกรรมก็ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว
สำหรับในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เชื่อว่าจะต้องมีแรงกดดันในเรื่องของการให้สินเชื่อรายย่อยที่ไม่เท่ากัน เพราะขณะนี้มีกระแสในเรื่องของการนำพลังงานสะอาดมาใช้ เช่น โครงการที่อยู่อาศัยรายไหนที่ใช้พลังงานสะอาดอาจจะได้รับสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ถูก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงการที่พัฒนา ซึ่งก็จะถูกแรงกดดันเช่นเดียวกัน
โดยบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯก็จะถูกกฎเกณฑ์บังคับว่า จะต้องดำเนินการปรับปรุงในองค์กรให้ได้ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดก่อน
“อีกทั้งการดำเนินการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ก็จะต้องเร่ิมต้นจากกระบวนการผลิตของวัสดุก่อสร้างจนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ สำหรับผู้บริโภคเองก็สามารถสอบถามบริษัทผู้ประกอบการรายนั้นๆได้ว่าเป็นสินเชื่อสีเขียวหรือไม่”
ผู้ประกอบการอสังหาฯต้องคำนึง 2 ปัจจัย
ด้านความท้าทายในการปรับตัวที่จะก้าวสู่ Net Zero ของผู้ประกอบการอสังหาฯนั้น จะต้องคิดใน 2 ปัจจัยสำคัญ คือ
1.การลงทุน เพื่อนำไปสู่ Net Zero โดยงบลงทุนต้องไม่สูงเกินไป แต่มีความคุ้มค่ากับสินค้าที่จะผลิตออกมาขาย
2.ตลาดมีการตอบรับมากน้อยเพียงใด
สำหรับในส่วนของกานดาฯนั้น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทุกโครงการในพื้นที่สาธารณะ ได้มีการติดแผงโซล่าเซลล์ ฝ้ามีฟรอยและสามารถระบายอากาศได้ทุกหลัง ,มีกระจกเขียวตัดแสง และวัสดุไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และกำลังจะเพิ่มเติมในเรื่องของการประหยัดใช้พลังงาน และมีแนวคิดที่จะติดแผงโซล่าเซลล์ในบ้านแนวราบทุกหลัง แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น แต่จะดำเนินการในราคาที่ลูกค้ารับได้และมีความคุ้มค่ามากที่สุด